นิคกี้ วีเวอร์

เราต้องย้อนไปประมาณ 23 ปี ที่สโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กระเสือกกระสนในลีกรอง และมีสองภาพจำแมนเชสเตอร์ ซิตี้ หนึ่งในนั้นคือนักฟุตบอลเบิร์ต เทราต์มันน์ ที่หน้าครึ่งยิ้มครึ่งหน้าบึ้ง ในเกมที่เขากระดูกคอหักหลังช่วย แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์เอฟเอ คัพในปี 1956 โดยเขาเล่นในช่วงท้ายเกมไปพร้อมกับอาการบาดเจ็บที่น่ากลัวครั้งนั้น อีกหนึ่งเหตุการณ์คือ นิคกี้ วีเวอร์ กับท่าฉลองสุดบ้าคลั่งหลังเซฟจุดโทษพาทีมเลื่อนชั้นได้สำเร็จ หลังทีมหล่นไปอยู่ในลีกวัน

มิเชล ฮิดัลโก ตำนานโค้ชทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์ยูโร 84 ที่จากไปด้วยวัย 87 ปี

นิคกี้ วีเวอร์ นักฟุตบอลคนนี้ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในยุคนั้น

นับเป็นเวลา 23 ปีแล้วนับตั้งแต่เกมเพลย์ออฟสุดดราม่าในวันนั้น ชัยชนะเหนือ กิลลิงแฮม นับเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนของ แมนฯ ซิตี้ นับจากวันนั้นทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก 6 สมัย, เอฟเอ คัพ 2 สมัย, ลีก คัพ 6 สมัย และเข้าชิงฯ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และแฟนบอล ซิตี้ เจอช่วงเวลาทั้งดีและแย่มาต่าง ๆ นานา ความทรงจำที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาคงเป็นชัยชนะที่เวมบลีย์ในปี 1999 เกมนั้น จะยังคงความพิเศษในใจพวกเขา

เกมเข้าสู่ช่วงทดเวลา, ซิตี้ เป็นฝ่ายตามหลัง 0-2 ก่อนได้ประตูท้ายเกมจาก เควิน ฮอร์ล็อค และ พอล ดิกคอฟ ช่วยทีมได้เล่นช่วงต่อเวลาและเข้าสู่การยิงจุดโทษ และเกมจบลงด้วย วีเวอร์ นายประตูเซฟสองจุดโทษสำคัญพาทีมเลื่อนชั้น และท่าดีใจสุดบ้าคลั่งของเขามันจะเป็นสิ่งที่หลายคนไม่มีวันลืม และวีเวอร์ เผย

“สำหรับแฟนบอลซิตี้ที่มีอายุประมาณหนึ่ง พวกเขาจะซาบซึ้งกับสิ่งที่พวกเขามีในตอนนี้ เพราะมันไม่ได้จะเป็นแบบนั้นเสมอไป”

“ผมเจอเด็กตัวน้อย ๆ เดินเข้ามาหาผมแล้วบอกว่าคุณพ่อของเขาโชว์คลิปนี้ให้ดูบนยูทูบ มันเป็นโมเมนต์ในตำนานของประวัติศาสตร์สโมสร

“เหล่าดาวรุ่งเติบโตขึ้นมาพร้อมกับทีมของพวกเขาที่มีทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งแน่นอนว่ามันยอดเยี่ยม แต่คนที่อายุมากกว่านั้นรู้ดีที่จะอธิบายกับพวกเขาในจุดที่เรามาอยู่ตรงน้ีได้”

เมื่อมาย้อนดูว่าฟุตบอลมันเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแมนเชสเตอร์ มันแทบไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ และ4 วันก่อนหน้าเกมเพลย์ออฟในวันนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพิ่งคว้าแชมเปี้ยนส์ ลีก ปิดฉากฤดูกาลด้วยเทรเบิลแชมป์อย่างยิ่งใหญ่

ขณะที่ ซิตี้ ตกชั้นสองครั้งใน 3 ปี และอยู่ในจุดตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร โดยที่แทบจะไม่มีลุ้นถ้วยรางวัลใด ๆ เลย เราแทบจินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้าในวันนั้น พวกเขาไม่ได้เลื่อนชั้นกลับขึ้นมา สถานการณ์ของทีมจะเป็นอย่างไร ในการเดิมพันสูงแน่นอนก่อนเริ่มฤดูกาลใหม่ ด้วยความกดดันจากภายในสโมสร อย่างไรก็ตาม วีเวอร์ ในวัย 19 ปี ที่ได้ประเดิมสนามนัดเปิดฤดูกาล ไม่ใช่หนึ่งในนั้น

“มีเสียงวิจารณ์ต่าง ๆ นานา และสำหรับบางคนที่อยู่กับทีมมาหลายปี และผ่านการตกชั้นมา 2-3 ครั้ง มันก็เข้าเค้าอยู่ ผมเพิ่งเรียนรู้ข้อแลกเปลี่ยนของผม และผมเนื้อเต้นที่จะได้เล่นให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ชุดใหญ่!

“แต่ผลการแข่งขันไม่ได้เป็นไปตามแผน และมีช่วงเวลาที่มืดหม่น มันยากลำบากนะเพราะว่าทุก ๆ ที่ ๆ เราไปคนเต็มสนาม – มันคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาแล้ว หรือ เกมนัดชิงฯสำหรับทุกคน”

จุดตกต่ำสุดของทีมเกิดในกลางเดือนธันวาคม ความพ่ายแพ้ 2-1 ที่ยอร์ค ซิตี้ทำให้ทีมของ โจ รอย์ล รั้งอันดับ 12 หมดลุ้นเลื่อนชั้นโดยอัตโนมัติ และเริ่มสุ่มเสี่ยงต่อการพลาดตั๋วเพลย์ออฟ และความกดดันยิ่งทะลุจุดเดือดในสัปดาห์ต่อมา เมื่อพวกเขาตกเป็นฝ่ายตามหลังสโต๊ค ซิตี้ 0-1

“มีนักเตะหลายคนเถียงกัน บางคนก็เถียงสตาฟฟ์โค้ชตอนพักครึ่ง บางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่เราต้องการ” วีเวอร์ เผย

“เรากลับมาลงในครึ่งหลัง และ ดิกคอฟ กับ แกเร็ธ เทย์เลอร์ ทำประตู พาพวกเรากลับมาเอาชนะ เรารู้ว่าเราดีพอ แต่บางครั้งมันต้องทำแบบนั้นให้เป็นเรื่องปกติ

แม้ว่าจะเกิดปัญหาในสนาม แฟนบอลไม่เคยที่จะหยุดหนุนหลังพวกเขา ยอดผู้ชมเฉลี่ย 30,000 คนต่อเกม มากกว่าครึ่งหนึ่งของสโมสรในลีกสูงสุดในปีนั้น แทบจะทุก ๆ เกมบัตรจะขายหมดเกลี้ยง และฤดูกาลของพวกเขาเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทาง ด้วยการมาของกัปตันทีม แอนดี้ มอร์ริสัน ที่เข้ามาเพิ่มความเป็นผู้นำในห้องแต่งตัว และหลังจากผ่านด่าน วีแกน ในรอบรองฯเพลย์ออฟมาได้ การเซฟจุดโทษของ วีเวอร์ ช่วยพวกเขาเลื่อนชั้นขึ้นมาด้วยชัยชนะที่เวมบลีย์ครั้งแรกในรอบ 23 ปี

“มันใช้เวลาเป็นสัปดาห์กว่าที่ผมจะกลับมาจากความสุขขั้นสุดรวมทั้งความอิ่มเอมใจทั้งหลาย ผมทำให้สิ่งที่เด็กอายุ 20 ปีทำเหมือนกัน ผมออกไปกับเพื่อนของผมไป เอเยียนาปา ไปเที่ยวซัมเมอร์อย่างหนำใจ

“ผมได้เดบิวต์ในวันแรกของผม ลงเล่นไป 55 เกม และเซฟจุดโทษ ทั้งหมดนี้เหมือนกับว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นจริง”

มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และ วีเวอร์ สามารถช่วย ซิตี้ เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาลต่อมา และได้ลงเล่นลีกสูงสุดในฐานะนายประตูมือหนี่ง แต่แล้วเขาโชคร้ายได้รับบาดเจ็บหัวเข่า และต้องเข้ารับการผ่าตัดถึง 6 ครั้ง โดยเขาเดินทางไปรักษาตัวที่สหรัฐอเมริกาพร้อมกับคุณพ่อของ เออร์ลิง เบราท์ ฮาลันด์ อดีตมิดฟิลด์ของ ซิตี้ อย่าง อัลฟี อยู่ครั้งหนึ่ง หลังจากได้ลงเฝ้าเสาแค่ 2 เกมในรอบ 4 ปี เขาเรียกความฟิตกลับมาอีกครั้งและได้ลงสนามในฐานะมือหนึ่งช่วงครึ่งหลังฤดูกาล 2007

“ความสำเร็จที่ดีที่สุด ผมคิดว่าคือการได้เล่นพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่ผมกลับมาจากอาการบาดเจ็บหัวเข่าทั้งหมดนั้น” วีเวอร์ เผย

“หลายคนคิดว่าผมจบเห่ไปแล้ว และผมเผชิญช่วงเวลาที่มืดหม่นตอนได้รับบาดเจ็บ ผมไม่เคยคิดว่าผมจะเฉียดที่จะต้องเลิกเล่นแบบนี้มาก่อน”

เขาย้ายออกจากทีมในฤดูกาลต่อมา โดยย้ายไปเล่นกับ เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ ด้วยสัญญายืมตัว ก่อนได้เล่นต่ออีก 7 ปีกับ ชาร์ลตัน, ดันดี ยูไนเต็ด, เบิร์นลีย์ และ อเบอร์ดีน ตอนนี้ วีเวอร์ กลับไป เวนส์เดย์ ในฐานะโค้ชทีมชุด U18 และโค้ชผู้รักษาประตูของ U23 ซึ่งเขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเสมอเมื่อกลับไปยังเอติฮัด

“หลายคนมักจะบอกว่าถ้าคุณไม่บาดเจ็บ แต่ผมเจอ มันเป็นส่วนหนึ่งของฟุตบอล แต่ขอบคุณจริง ๆ ที่ผมได้มาเล่นกับ ซิตี้ และเล่นจนถึงอายุ 35 ปี

“ตอนผมออกจากโรงเรียน ถ้าบางคนบอกว่าคุณจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพในอีก 19 ปีข้างหน้า คุณคงไม่เชื่อพวกเขาหรอก ดังนั้นผมโชคดีเหลือเกิน”

ถ้า วีเวอร์ โชคดีพอเล่นให้ ซิตี้ มันคงเป็นความรู้สึกที่ตอบแทนกันและกัน ใครจะรู้ว่า ซิตี้ จะยังเป็นเหมือนทุกวันนี้หรือเปล่าถ้าไม่ได้การเซฟจุดโทษในความทรงจำของเขาที่เวมบลีย์ในปี 1999?


ข้อมูลอ้างอิงจาก : wikipedia.org