คล็อปป์

นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาลำบากครั้งแรกของ ลิเวอร์พูล และโจทย์ยากๆ ทุกครั้งที่ผ่านมา คล็อปป์ ก็สามารถหาทางแก้ไขพาทีมกลับมาสู่เส้นทางที่ดีได้เสมอ และหนึ่งในสิ่งที่คล็อปป์เน้นและพยายามเน้นมาตลอดคือพวกเขาต้องเริ่ม ‘แก้ปัญหาที่ตัวเองก่อน’ โดยเฉพาะในเรื่องของเกมรับที่เป็นจุดสลบของทีมมาตั้งแต่เกมแรกของฤดูกาลกับฟูแลม

คล็อปป์ จะแก้ปัญหาให้ลิเวอร์พูลอย่างไร

จากความพ่ายแพ้ต่อเบรนท์ฟอร์ดแบบหมดรูป ถึงการปราชัยแบบย่อยยับต่อไบรท์ตันแบบหมดสภาพ ไม่เพียงแค่ระยะห่างระหว่างลิเวอร์พูลกับทีมในกลุ่มท็อปโฟร์จะห่างไกลกันจนเหมือนเริ่มจะเกินเอื้อมแล้ว แต่ความหวังในทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ นั้นแทบไม่เหลืออะไรแล้ว และสภาพของลิเวอร์พูลในเวลานี้แตกต่างจากภาพของทีมที่ครั้งหนึ่งเคยขึ้นชื่อว่าเล่นฟุตบอลในแบบ ‘Heavy Metal Football’ และมี ‘Mentality Monster’ จิตใจที่แข็งแกร่งประหนึ่งอสูรกายที่ฆ่าเท่าไรก็ไม่ตาย ซึ่งชวนให้ใจหายเป็นอย่างยิ่ง

ภาพของคล็อปป์ที่เดินไปยกมือไหว้ขอโทษแฟนเดอะ ค็อป ที่ติดตามมาเชียร์ถึงไบรท์ตัน (แม้ว่าบางส่วนจะทนรับสภาพไม่ไหวออกจากสนามไปก่อนหมดเวลาบ้างแล้ว) อาจเรียกได้ว่าเป็นภาพที่ตกต่ำที่สุดของลิเวอร์พูล ซึ่งคล้ายกับในช่วงแรกที่ผู้จัดการทีมชาวเยอรมนีเข้ามารับตำแหน่งและพบว่าทีมเต็มไปด้วยปัญหาโดยเฉพาะเรื่องของความเชื่อ

แต่เอาเข้าจริงแล้วปัญหาของลิเวอร์พูลอาจจะไม่ได้อยู่แค่เรื่องของความเชื่อเพียงอย่างเดียว เมื่อสถิติหลายอย่างบ่งบอกว่าพวกเขามีปัญหาจริงๆ ในระบบการเล่นไปจนถึงฟอร์มของผู้เล่นที่ออกทะเลแทบทุกคน โดยเฉพาะในพื้นที่แดนกลางของสนามซึ่งเป็นจุดที่แฟนบอลมองจากดาวอังคารก็รู้ว่านี่แหละ ‘จุดอ่อน’ และทางแก้ที่แฟน ๆ พยายามเรียกร้องกันจนปากเปียกปากแฉะคือ ‘ซื้อกองกลางดีๆ มาหน่อย’ แต่ดูเหมือนคล็อปป์จะยังคงดื้อแพ่งด้วยการยืนยันเป็นรอบที่ล้านว่า ‘ไม่ซื้อ’ แล้วลิเวอร์พูลจะแก้ปัญหาของพวกเขาได้อย่างไร?

คล็อปป์ใช้เวลาในการแถลงข่าวก่อนเกมเอฟเอคัพที่จะพบกับวูล์ฟส์ในเกมรีเพลย์ 

เพื่อตอบคำถามทุกอย่างที่นักข่าวสงสัย (และแน่นอนนักข่าวบางคนก็อยากปั่นหัวเล่นเพื่อพาดหัวข่าวโดนๆ) และหนึ่งในสิ่งที่คล็อปป์เน้นและพยายามเน้นมาตลอดคือพวกเขาต้องเริ่ม ‘แก้ปัญหาที่ตัวเองก่อน’ โดยเฉพาะในเรื่องของเกมรับที่เป็นจุดสลบของทีมมาตั้งแต่เกมแรกของฤดูกาลกับฟูแลม

ปัญหาของลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้คือพวกเขาเล่นกันได้ไม่ ‘แน่น’ (Compact) พอ ซึ่งทำให้เมื่อต้องเป็นฝ่ายตั้งรับจึงเกิดช่องว่างให้คู่ต่อสู้สามารถจู่โจมได้อย่างง่ายดาย ดังจะเห็นได้จากในเกมกับเบรนท์ฟอร์ด ไบรท์ตัน รวมถึงในเกมเอฟเอคัพกับวูล์ฟส์ ซึ่งวันนั้นทีมหมาป่าใช้ชุดผสมสำรองเป็นส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ

“เราต้องเล่นกันให้แน่นกว่านี้” คล็อปป์บอก “สนามมันดูกว้างเกินไปมากในเวลาที่เราเล่นเกมรับ เราต้องกลับไปสู่พื้นฐานให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก และจากจุดนั้นเราถึงจะเริ่มก้าวเดินต่อไปได้

“เราต้องพยายามทำอะไรที่แตกต่างออกไปบ้าง และอะไรที่เคยทำได้ดีก็ต้องพยายามทำให้ได้เหมือนเดิม ความสำเร็จในเกมฟุตบอลมันเริ่มจากเกมรับที่แข็งแกร่งและนั่นจะเป็นสิ่งที่เราต้องเริ่มกันใหม่อีกครั้ง”

ส่วนในมุมของนักวิเคราะห์และแฟนฟุตบอลสายวิจารณ์ 

หลายคนอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในทีม และใครเล่นไม่ดีก็ดรอป ไม่มีอะไรยาก มันคือหลักการพื้นฐานของฟุตบอล และกลุ่มนักเตะที่ถูกมองว่าทำผลงานได้ย่ำแย่ในช่วงเวลานี้ มีตั้งแต่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ฟอร์มตกอย่างหนัก, โจเอล มาทิป ซึ่งดูกรอบและหมดสภาพ, ฟาบินโญ, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน รวมถึง นาบี เกอิตา กองกลางตัวอะไหล่ที่คล็อปป์ยังคงให้โอกาสอย่างต่อเนื่องและไม่เคยทำให้ชื่นใจได้เลย

จริงอยู่ที่นักเตะอย่าง โจ โกเมซ, แนท ฟิลลิปส์, คาลวิน แรมซีย์, ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์, เคอร์ติส โจนส์, ฟาบิโอ คาร์วัลโญ ไปจนถึงดาวรุ่งอย่าง สเตฟาน บายเซติช และ เบน โด๊ก จะไม่ได้เก่งกาจกว่า แต่อย่างน้อยในยามที่ทีมย่ำแย่ขนาดนี้บางครั้งการเปลี่ยนแปลงอาจจะช่วยให้มันได้มีความสดชื่นใหม่ๆ บ้าง โดยเฉพาะในกลุ่มดาวรุ่งอย่างเอลเลียตต์, คาร์วัลโญ, แรมซีย์, บายเซติช และโด๊ก ที่เป็นคลื่นลูกใหม่ ฝีเท้าอาจไม่ถึงแต่ใจถึงแน่นอน พิสูจน์ให้เห็นมาแล้วก็มาก

คล็อปป์ก็โต้ในประเด็นที่หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าเขา ‘ยึดมั่น’ กับลูกทีมบางคนมากเกินไปหรือเปล่า โดยยืนยันว่าถึงเขาจะไว้ใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าจะไว้ใจไปตลอด (ซึ่งรวมถึงการมองหาตัวเลือกเข้ามาเสริมด้วยว่าไม่ได้คิดว่าจะใช้ทีมชุดนี้ไปยัน 2050!) และส่วนตัวของคล็อปป์เองอาจจะต้องช่วยหาทางออกให้ด้วยการปรับแท็กติกการเล่นใหม่อีกครั้งแบบจริงจัง เพราะระบบ 4-3-3 ที่เคยแข็งแกร่งยืนหนึ่งมานานหลายปี โดนคู่แข่งศึกษาชำแหละจนหมดสภาพแล้ว เรารู้ว่าคล็อปป์ไม่ชอบ Plan B แต่ถ้า Plan A มันไม่ไหวตอนนี้ นี่อาจเป็นทางเลือกที่ดีนะ

แล้วถ้าคล็อปป์ ปรับแล้วเปลี่ยนแล้วยังไม่รุ่งทำอย่างไร?

อดทนอาจเป็นสิ่งเดียวที่เดอะคล็อปป์ทำได้ และรอให้นักเตะตัวหลักอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, ดีโอโก โชตา, หลุยส์ ดิอาซ ค่อยๆ ทยอยกลับมาใน 1-2 เดือนข้างหน้า โดยที่ระหว่างนั้นก็ภาวนาเยอะๆ ให้ทีมประคับประคองตัวทำผลงานได้ดีขึ้นเองตามธรรมชาติ

นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาลำบากครั้งแรกของลิเวอร์พูล และโจทย์ยากๆ ทุกครั้งที่ผ่านมาคล็อปป์ก็สามารถหาทางแก้ไขพาทีมกลับมาสู่เส้นทางที่ดีได้เสมอ เพียงแต่ที่เป็นห่วงคือกว่าจะถึงเวลานั้น พวกเขาก็อาจจะไม่เหลืออะไรแล้วในฤดูกาลนี้ เพราะต่อจากเกมกับวูล์ฟส์ก็คือเกมกับเชลซีที่กำลังย่ำแย่พอกัน ถ้าพลาดอีกทุกอย่างมันจะแย่เกินไป

ความจริงฤดูกาลยังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง ระยะห่าง 10 แต้มกับพื้นที่แชมเปียนส์ลีกไม่ได้ถึงกับเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ว่ากันตามฟอร์มแล้ว การจะคิดว่าลิเวอร์พูลจะโกยชัยชนะต่อเนื่องเหมือนในช่วงพีคกับหวังให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดหรือนิวคาสเซิลสะดุดไปจนถึงแหกโค้งบ้างนั้น ดูจะสวนทางกับความเป็นจริงในเวลานี้

แต่ในเมื่อคล็อปป์ยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่า ‘ไม่ซื้อ’ ท่ามกลางกระแสข่าวว่าจะเก็บทุนเอาไว้ลงกับ จูด เบลลิงแฮม ซูเปอร์สตาร์จากทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และอาจรวมถึง มาเตอุส นูเนส กองกลางวูล์ฟส์ซึ่งเป็นเป้าหมายเดิม แม้ในใจลึกๆ จะอยากประนมมือแนบอกแล้วบอกคล็อปป์กับผู้บริหาร ‘ไหว้ล่ะ ซื้อสักตัวเถอะ’ ก็ตาม

เจอร์เก้นคล็อปป์ กับการต่อสัญญา ลิเวอร์พูล ให้เป็นกุนซือถึงปี 2024


ข้อมูลอ้างอิงจาก : wikipedia.org